เหนื่อยแต่คุ้มค่าสุดๆ สำหรับหนึ่งในตัวเต็งที่ก่อนหน้านี้ พวกเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปแบบการเล่นที่ดูไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่ เนื่องจากฟอร์มหลังๆ นั้น ดุจะหนักไปทาง การเล่นแบบระมัดระวังตัวเองและเน้นไปที่ผลหลังการแข่งขันสักหน่อย แต่สำหรับทัพตราไก่ ที่ดูแลโดย ดีดิเยร์ เดส์ชองส์ ก็โดนวิพากย์วิจารณ์ไม่แพ้กัน สำหรับการลงแข่งของพวกเขาในนัดแรกของศึกยูโร 2024 แถมประตูตัดสินของพวกเขา ก็ดันเกิดจากจังหวะที่คู่แข่งโหม่งเข้าประตูตัวเองอีกด้วย กุนซือของพวกเขาได้พูดก่อนเกมไว้ว่า ทีมของเขาได้ทำการศึกษาการเล่นทีมของ ราล์ฟ รังนิค ไว้แล้ว สำหรับการแข่งใน 4 นัดหลังสุด และพวกเขาก็ทราบกันเป็นอย่างดีว่าทีมของออสเตรีย มีความแข็งแกร่งและน่ากลัว ซึ่งเป็นสิ่งทืทีมของเขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
ซึ่งความจริงแล้ว ทีมฝรั่งเศส ควรจะชนะมากกว่านี้ แต่ทางด้านของกัปตันทีมอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ กลับยิงหลุดออกกรอบไปอย่างน่าเหลือเชื่อจากจังหวะหลุดเดี่ยวในครึ่งหลัง แต่สุดท้ายแล้วเมื่อบวกเพิ่มไม่ได้ก็อย่าเสีย พวกเขาสามารถคว้าสามคะแนนสำคัญไปครองและจบงานของตัวเองได้สำเร็จในที่สุด
ถึงแม้ว่าหลายๆ คนจะคิดว่าทางด้านของออสเตรีย เป็นรองทัพตราไก่อยู่มาก แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนในการแข่งขันครั้งนี้เลยก็คือ ระบบการเล่นฟุตบอลที่เล่นกันเป็นระบบของ ราล์ฟ รังนิค พวกเขาสามารถเล่นกันเป็นทีมได้เป็นอย่างดี ไม่พึ่งพานักเตะคนใดคนหนึ่งเพียงแค่คนเดียว โดยทางด้านของอดีตผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้วางระบบทีมแบบ 4-2-3-1 ให้กับลูกทีม ซึ่งแน่นอนว่า แผนของเขาก็คือการให้นักเตะเพรสซิ่งใส่แข้งฝรั่งเศส เพื่อเป็นการไม่ให้ทางนั้นตั้งเกมได้ง่าย โดยเฉพาะเฉพาะอย่างยิ่งการเพรสในส่วนของแดนกลาง และแดนหลังของตัวเอง พวกเขาช่วยกันเล่นเกมรับเกมรุก และยังจัดระเบียบเกมรับได้เป็นอย่างดี อีกทั้งพวกเขายังมีสมาธิกับเกมสูงมาก ทั้งนี้ พวกเขาหวงพื้นที่ของตัวเองและไม่ต้องการเปิดพื้นที่หรือให้เวลาผู้เล่นที่มีความเร็วสูงอย่าง คีลิยัน เอ็มบัปเป้ และ อุสมาน เดมเบเล่ มากนัก แต่ยังมีสุดที่น่าเสียดายก็คือ พวกเขาพลาดท่าจากจังหวะที่ มักซิมิเลียน วูเบอร์ โหม่งเข้าประตูตัวเองในช่วงท้ายครึ่งแรกนั่นเอง
ศึกครั้งนี้เป็นการกลับมาลงตัวจริงของ เอ็นโกโล ก็องเต้ กองกลางวัย 33 ปี ใน ทัพเลส์ เบลอส์ อีกครั้ง หลังจากที่เขาได้ห่างหายไปเกือบ 2 ปี ซึ่งการแข่งในครั้งนี้ถือว่า เอ็นโกโล ก็องเต้ เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ เลยในนัดนี้ เขาอยู่ทุกที่ของสนาม วิ่งไม่มีหมด ดักตัดบอลและช่วยเกมรับได้หลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้ายเกม จังหวะที่วิ่งลงมาช่วยสกัดบอล เขามีส่วนร่วมทั้งเกมรับเกมรุก ซึ่งนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมดีดิเยร์ เดส์ชองส์ จึงต้องเรียกตัวเขากลับมาลงสนามอีกครั้ง
หลังจบการแข่งเกมของกลุ่ม ดี ทางด้านของอัศวินสีส้ม รังจ่าฝูงของกลุ่ม มีคะแนนเท่ากับตราไก่ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 แต่ ทัพเนเธอร์แลนด์ ยิงได้มากกว่าฝรั่งเศสอยู่ 1 ลูก ส่วนทางด้านของโปแลนด์ และออสเตรีย รั้งอันดับ 3 และ 4 ตามลำดับ โดยทั้งสองทีมมีประตูติดลบเท่ากันที่ -1 แต่โปแลนด์ มีสกอร์ที่มากกว่าออสเตรียอยู่ 1 ลูก และสำหรับโปรแกรมนัดที่สองจะแข่งขันกันคืนวันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน 2024 นี้ เวลา 23.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เตรียมพบกับศึก โปแลนด์ ดวลแข้งกับ ออสเตรีย ในขณะที่ทางด้านของอีกคู่จะตอน 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เนเธอร์แลนด์ จะพบกับ ฝรั่งเศส ดูได้ที่ : livesodball