ในคืนวันพุธที่ 25 กันยายน 2024 แมนฯยู หรือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านที่สนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด ต้อนรับการมาเยือนของ ทเวนเต้ ทีมดังจากเนเธอร์แลนด์ ในศึกยูโรป้าลีก กลุ่ม A ซึ่งเกมนี้ลงเอยด้วยผลเสมอ 1-1 แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายครองบอลได้มากกว่าและเปิดเกมรุกใส่อย่างต่อเนื่อง แต่ทีมเยือน ทเวนเต้ มีการตั้งรับอย่างมีระบบและอาศัยการสวนกลับที่คมกริบ ในนาทีที่ 30 ทเวนเต้สามารถทำประตูขึ้นนำ 1-0 ได้จากการยิงไกลนอกกรอบเขตโทษของ ยานิค ฟาน เดอ เบิร์ก ส่งบอลเข้ามุมซ้ายบนอย่างสวยงาม ทำให้เจ้าบ้านตามหลังไปก่อนในช่วงครึ่งหลัง แมนยูพยายามบุกกดดันต่อเนื่องและได้ประตูตีเสมอในนาทีที่ 75 จากการยิงของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่รับบอลจากการจ่ายทะลุช่องของ บรูโน่ แฟร์นานเดส แรชฟอร์ดยิงเข้าประตูอย่างเฉียบขาด ทำให้สกอร์เป็น 1-1 ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมยังคงบุกเข้าใส่กัน แต่ไม่สามารถทำประตูเพิ่มเติมได้ จบเกมด้วยการเสมอกัน 1-1 ผลการแข่งขันนี้ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เก็บได้ 4 คะแนนจาก 2 นัดในกลุ่ม A ส่วน ทเวนเต้ มี 2 คะแนนจากการเสมอสองนัด
เกมคู่นี้เริ่มเตะเวลา 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย และจบลงเกือบ 04:00 น. แฟนบอลบางคนตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อตื่นมาชมทีมรัก บางคนยอมอดหลับอดนอนเฝ้ารอดูอย่างตั้งใจ กลัวว่าจะพลาดช่วงสำคัญของการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามกลับน่าผิดหวัง โดยเฉพาะฟอร์มการเล่นของแมนฯยูภายใต้การคุมทีมของ เอริค เทน ฮาก การเข้าทำในพื้นที่สุดท้ายขาดไอเดียและความสร้างสรรค์ ทีมเล่นอย่างไร้จังหวะ ไม่มีความหลากหลายในการโจมตี การเคลื่อนบอลช้าและจำเจ พวกเขาแค่จ่ายบอลซ้ายไปขวา และขวาไปซ้ายวนไปมา ไม่มีการเจาะทะลุเข้าพื้นที่ตรงกลาง ไม่มีการโจมตีพื้นที่สำคัญอย่างโซน 14 หรือฮาล์ฟสเปซ ซึ่งถือเป็นจุดที่สามารถสร้างโอกาสได้มากในแท็คติกฟุตบอลสมัยใหม่ ทีมเน้นการขึ้นเกมทางริมเส้นเป็นหลัก แต่จังหวะการจ่ายบอลก็ช้าเกินไป ไม่มีความเร่งรีบในการเล่น บางครั้งยังเล่นแบบติดประมาทอีกด้วย การเสมอในเกมนี้ โดยเฉพาะการเจอกับทีมที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากในบ้าน ถือเป็นความเสียหายอย่างมาก และผลเสมอในครั้งนี้ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการแพ้
คริสเตียน เอริคเซ่น กลายเป็นตัวละครสำคัญในเกมนี้ แต่กลับพลิกบทบาทจากผู้สร้างสรรค์เกมในครึ่งแรกมาเป็นผู้ร้ายในครึ่งหลัง กองกลางทีมชาติเดนมาร์ก ได้รับโอกาสลงตัวจริงเป็นนัดที่ 4 ติดต่อกันกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว เอริคเซ่น กำลังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม เขายิงประตูสุดสวยให้ทีมขึ้นนำ 1-0 ในช่วงครึ่งแรก และจากผลงานดังกล่าว เขาทำไปแล้ว 3 ประตูและ 1 แอสซิสต์ใน 4 เกมหลังสุดที่ได้ลงตัวจริง อย่างไรก็ตาม หลังจากเป็นพระเอกในครึ่งแรก เอริคเซ่นกลับกลายเป็นผู้ร้ายในครึ่งหลัง เมื่อประตูที่ทีมโดนตีเสมอ 1-1 มาจากความผิดพลาดของเขา เอริคเซ่นเล่นช้าเกินไป และขาดความระมัดระวังจนถูก แซม แลมเมอร์ส นักเตะของทเวนเต้ ฉกบอลไปอย่างง่ายดาย ก่อนที่ทีมจะเสียประตูตีเสมอ แม้จะชัดเจนว่า คริสเตียน เอริคเซ่น เป็นฝ่ายที่ผิดพลาดในจังหวะนั้น แต่คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำไมก่อนที่ เอริคเซ่นจะก่อความผิดพลาด ผู้เล่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนอื่นๆ ถึงปล่อยให้นักเตะทเวนเต้เลี้ยงบอลเข้ามาโดยง่าย โดยไม่มีการเข้าสกัดหรือหยุดเกมด้วยการทำฟาวล์
ในฤดูกาลนี้ ฟอร์มการเล่นของ บรูโน่ ดูจะลดลงไปอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของความคิดสร้างสรรค์และความแม่นยำในการเล่นบอล โดยเฉพาะการเสียบอลบ่อยครั้ง การตัดสินใจที่ผิดพลาดในจังหวะสำคัญ รวมถึงการจ่ายบอลที่ไม่แม่นยำ ทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เขายังควรเป็นตัวจริงของทีมแมนฯยูอยู่หรือไม่ หนึ่งในปัญหาที่เห็นได้ชัด คือ บรูโน่ ดูเหมือนจะขาดพลังงานในการเล่นและดูตื่นตระหนกในหลายๆ จังหวะ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่เขาต้องลงเล่นอย่างต่อเนื่องโดยแทบไม่ได้พัก การที่บรูโน่เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ทีมหวังพึ่งมากเกินไป ทำให้เขาอาจรู้สึกกดดันและไม่สามารถแสดงศักยภาพที่ดีที่สุดออกมาได้ทุกนัด นอกจากนี้ เมื่อเกมรุกของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดความหลากหลายและพึ่งพาบรูโน่มากเกินไป ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเริ่มจับทางได้และปิดการเล่นของเขาได้ง่ายขึ้น หากบรูโน่ไม่สามารถคืนฟอร์มกลับมาได้ ทีมก็ต้องเผชิญกับปัญหาการสร้างสรรค์เกมรุกที่ไม่เป็นระบบ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ เอริค เทน ฮาก ควรตัดสินใจดร็อป บรูโน่ เพื่อให้เขาได้พักฟื้นร่างกายและสภาพจิตใจ การปล่อยให้ผู้เล่นที่ฟอร์มตกลงพักบ้าง อาจเป็นการกระตุ้นให้เขากลับมามีแรงกระตุ้นใหม่ รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้เล่นคนอื่นๆ เช่น คริสเตียน เอริคเซ่น หรือ เมสัน เมาท์ ที่อาจพร้อมขึ้นมาแทนที่และช่วยสร้างมิติใหม่ๆ ให้กับเกมรุก แม้บรูโน่จะเป็นกำลังสำคัญในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่การดร็อปเขาอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมในเวลานี้ เพื่อลดแรงกดดันและให้เขากลับมาเล่นด้วยความมั่นใจอีกครั้ง