เอ็นโซ่ มาเรสก้า ผู้จัดการทีม เลสเตอร์ ซิตี้ แสดงความเชื่อว่า เจมี่ วาร์ดี้ จะยังเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลหน้าไหว ภายหลังทัพ "สุนัขจิ้งจอก" เพิ่งได้แชมป์ศึก คาราบาว คัพ ประจำฤดูกาล 2023-24 วาร์ดี้ จะหมดสัญญากับ เลสเตอร์ ในช่วงซัมเมอร์นี้แล้ว ทำให้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าอนาคตของเขาจะเป็นยังไงต่อไป โดยนัดล่าสุดเจ้าตัวก็ยังโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นด้วยการทำ 2 ประตูจนช่วยให้ "สุนัขจิ้งจอก" บุกไปชนะ เปรสตัน นอร์ธ เอ็นด์ 3-0 เอ็นโซ่ มาเรสก้า กุนซือ เลสเตอร์ มั่นใจว่า เจมี่ วาร์ดี้ มีศักยภาพดีพอที่จะเล่นใน พรีเมียร์ลีก ได้ พร้อมบอกว่าแฮปปี้กับผลงานของทีมตลอดทั้งฤดูกาลนี้มากๆ
เจมี่ วาร์ดี้ คือ เลสเตอร์ ตลอดชีวิตของเขานั้น เจมี่ วาร์ดี้ ทำประตูได้อยู่เสมอ และเขาก็จะยังทำประตูได้ต่อให้จะมีอายุ 40 หรือ 45 ปีก็ตาม การทำประตูมันอยู่ในสายเลือดของเขาอยู่แล้ว เราโชคดีมากๆ ที่เขาเป็นนักเตะของเรา ตอนนี้มันเหมือนกับว่าเราปิดฤดูกาลได้แล้ว เราเหลือเกมอีก 1 นัดในวันเสาร์นี้ จากนั้นเราถึงจะมานั่งคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ แต่ถ้าเอาตามความรู้สึกของผมนั้นผมเชื่อว่าเขาจะอยู่กับเราต่อไป ถ้าผมเลือกได้ผมก็อยากให้เขาอยู่ช่วยทีมต่อ" มาเรสก้า ระบุ
กุนซือชาวอิตาเลียนบอกด้วยว่าดีใจมากๆ ที่พาทีมเลื่อนชั้นได้รวมถึงเป็นแชมป์ของ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ "มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษ เราเคยพูดไปหลายครั้งแล้วว่านี่เป็นซีซั่นที่หินและเข้มข้นสุดๆ แชมเปี้ยนชิพ มันต้องแข่งกันแบบยาวนาน เราต้องลงเล่นหลายนัด แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ทำตามเป้าหมายได้ เราดีใจมากๆ เราเล่นกันได้ยอดเยี่ยมมาโดยตลอดและผมคิดว่าเราคู่ควรกับการทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้แล้ว"
ได้รับการยืนยันแล้วสำหรับ เจมี่ วาร์ดี้ ‘จิ้งจอกสยาม’ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่จะได้เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก อังกฤษอีกครั้งในฤดูกาลหน้า หลังจากลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมลุ้นเลื่อนชั้นด้วยกันพลาดท่าพ่ายต่อควีนสปาร์ค เรนเจอร์ส 0-4 เมื่อคืนนี้ โดยเลสเตอร์ ซิตี้ ชุดนี้ แม้ขาดกำลังหลักหลังจากตกชั้นสู่ลีกรอง แต่ภายใต้การทำทีมของ เอ็นโซ มาเรสกา (อดีตโค้ชผู้ช่วยเป๊ป กวาร์ดิโอลา) และนักเตะรายอื่นๆ รวมถึง เจมี วาร์ดี กองหน้าจอมเก๋า คือกำลังสำคัญที่ช่วยให้ทีมคว้าตั๋วขึ้นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง
ปัจจุบัน เจมี่ วาร์ดี้ อยู่ในช่วงวัย 37 ปี เขาอยู่กับเลสเตอร์ ซิตี้มานาน 12 ปี จนได้รับการขนานนามให้เป็นเจ้าชายแห่งทัพจิ้งจอกสยาม ลงสนามให้ทีมไปทั้งหมด 462 นัด ยิงไป 188 ประตู กับอีก 66 แอสซิสต์ มีสถิติลงสนามมากที่สุดเป็นอันดับ 4 และยิงประตูมากที่สุดอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์สโมสร ชายผู้นี้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของทัพจิ้งจอกสยามในยุคการบริหารทีมของตระกูลศรีวัฒนประภาอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่การพาทีมคว้าแชมป์ลีกแชมเปียนชิปในฤดูกาล 2013/14 พร้อมตั๋วเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก จากนั้นวาร์ดียิงประตูจนช่วยสร้าง ‘เทพนิยายจิ้งจอกสยาม’ ด้วยการเป็นทีมม้ามืดที่ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ซึ่งการันตีคุณภาพฝีเท้าด้วยรางวัลผู้เล่นแห่งปีในฤดูกาล 2015/16 พร้อมไล่ล่าความสำเร็จได้อีกครั้งกับแชมป์เอฟเอคัพในฤดูกาล 2020/21
ถึงทีมจะต้องตกชั้นในฤดูกาล 2022/23 และเสียผู้เล่นชื่อดังออกจากทีมไปไม่น้อย แต่วาร์ดีเลือกจะปฏิเสธทุกข้อเสนอ และขออยู่ช่วยทีมกับการลงไปผจญภัยในลีกแชมเปียนชิป ผลงานการลงเล่น 35 นัด และยิงได้ 18 ประตู ในลีกรองแห่งนี้ ถือเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยมไม่น้อย สำหรับชายวัย 37 ปี ที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่เป็นครั้งคราวในฤดูกาลนี้และวันนี้ความตั้งใจและพยายามของวาร์ดีสัมฤทธิ์ผลแล้ว เขาพาทัพจิ้งจอกสยามกลับมาโลดแล่นในพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลหน้า แม้จะเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามถึง ‘อนาคต’ ของเจ้าตัว หลังสัญญาเดิมกำลังจะหมดลงในเดือนมิถุนายนนี้ (ซึ่งเชื่อว่าจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับสัญญาฉบับใหม่เร็วๆ นี้) แต่ไม่ว่าเจ้าตัวจะตัดสินใจเลือกเส้นทางไหนในอาชีพค้าแข้งนับจากนี้…สิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนไปคือการที่วันนี้ ‘เจมี วาร์ดี’ ได้ชื่อว่าเป็น ‘ตำนาน’ ของเลสเตอร์ ซิตี้แน่นอนแล้ว